- เพศ
- ชาย
- สนใจเลี้ยง
- แพะ
แกะ - แต้ม
- 449
- สะสม
- 321
- สมัครสมาชิกเมื่อ
- 15-10-2012
- เข้าสู่ระบบล่าสุด
- 28-2-2015
- จังหวัด
- ประจวบคีรีขันธ์
- กระทู้
- 9
- โพสต์
- 145
|
โรคปากเปื่อยในแกะและแพะ คนละโรคกันกับโรคปากเท้าเปื่อยนะครับแยกให้ออกจะงงกันอยู่บ่อยๆ
Contagious Ecthyma (Orf/Sore Mouth) in Sheep and Goats
ลักษณะทั่วไปของโรค
“โรคปากเปื่อยในแพะและแกะ” มีชื่อเรียกหลายอย่าง อาทิเช่น contagious ecthyma, scabby mouth แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ orf หรือ sore mouth เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Pox virus (Parapoxvirus) ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่นอกตัวสัตว์ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมได้นานหลายปี โรคนี้เป็นโรคที่สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน (zoonotic disease)
การติดต่อ
การติดต่อในสัตว์ สัตว์สามารถติดเชื้อไวรัสได้โดยการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ป่วย หรือ อาจติดเชื้อจากสะเก็ดแผลที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนกับอุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อม อาทิ เช่น ที่นอน อาหาร หรือรถยนต์พาหนะ โดยเชื้อไวรัสจะผ่านผิวหนังเข้าทางรอยแผลถลอกหรือบาดแผลขนาดเล็ก การนำสัตว์ไปแสดงหรือจัดนิทรรศการ และการประกวดสัตว์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากสัตว์จากฟาร์มต่างๆมีโอกาสสัมผัสและติดเชื้อทางจมูกขณะอยู่ในคอกที่อยู่ติดกัน และกรรมการผู้ตัดสินการประกวดอาจเป็นบุคคลที่นำเชื้อจากสัตว์ป่วยหรือสัตว์พาหะไปติดสัตว์ที่ปกติได้ โดยในขณะทำการตรวจสุขภาพฟันและช่องปากของสัตว์ที่เข้าประกวดจากหลายๆฟาร์มในวันเดียวกันโดยไม่มีการเปลี่ยนถุงมือหรือเสื้อผ้า
การติดต่อจากสัตว์สู่คน คนสามารถติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรค scabby mouth จากสัตว์หรือเครื่องมือที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสนี้ได้ เคยมีรายงานว่าเชื้อไวรัสสามารถเข้าทางผิวหนังของคนขณะทำวัคซีนป้องกันโรค scabby mouth ชนิดเชื้อเป็นให้แก่แกะ ทำให้เกิดแผลเจ็บปวด โดยปกติแผลจะหายเป็นปกติโดยไม่มีแผลเป็นภายในระยะเวลา 1-2 เดือน
อาการและรอยโรค
ในระยะแรกจะพบรอยโรคมีลักษณะเป็นผื่นนูน (papules) ต่อมาจะกลายเป็นแผลพุพอง (blisters) หรือ ตุ่มหนอง (pustules) แล้วตกเป็นสะเก็ดแผลในที่สุด บริเวณส่วนของร่างกายที่มักพบรอยโรคได้แก่ ริมฝีปาก รูจมูก ใบหู รอบตา ง่ามเท้า ขา เต้านม และอวัยวะสืบพันธุ์ (รูปที่ 2-4) ในกรณีที่พบรอยโรคที่เท้าหากเป็นมากจะทำให้สัตว์มีอาการเจ็บเท้าทั้งในสัตว์ที่โตแล้วและสัตว์อายุน้อยๆ ในลูกสัตว์ที่เป็นโรคนี้และมีรอยโรคที่ปาก อาจทำให้การดูดนมแม่หรือกินอาหารลำบาก จึงต้องมีการอนุบาลสัตว์ป่วยเป็นกรณีพิเศษ เช่น ป้อนด้วยขวดนม หรือ ให้อาหารทางหลอดให้อาหาร (tube feeding) เป็นต้น
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคนี้จะสังเกตจากอาการ และประวัติสัตว์ในฝูง รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยให้วินิจฉัยแยกจากโรคบลูทังค์ (Bluetongue) โรคปากและเท้าเปื่อย (Food and Mouth Disease; FMD) โรคผิวหนังจากการติดเชื้อราชนิด Dermatophilus congolensis (Dermatophilosis) โรคผิวหนังจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และกลุ่มอาการผิวหนังเกิดอาการแพ้แสง (Photosensitization)
การรักษา
ในกรณีที่สัตว์มีอาการและรอยโรคไม่มากนัก อาจไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใดๆ เนื่องจากสัตว์จะมีอาการดีขึ้นเองในเวลาประมาณ 1 เดือน เว้นแต่กรณีที่แผลมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือมีตัวอ่อนของแมลงวัน (maggot) ในบาดแผล อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน และควบคุมกำจัดหนอนแมลงที่บาดแผลโดยให้ยาโรยกำจัดตัวอ่อนของแมลง
การควบคุมและป้องกันโรค
ในสัตว์
1.การทำวัคซีนป้องกันโรคปากเปื่อยในแกะและแพะ (scabby mouth) ชนิดเชื้อเป็น จะพิจารณาทำวัคซีนในกรณีที่เป็นพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคนี้ ในลูกแกะควรทำวัคซีนเมื่ออายุประมาณ 1 เดือน และฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (booster) อีกครั้งใน 2-3 เดือนต่อมา โดยสัตว์จะมีภูมิคุ้มกันหลังจากการทำวัคซีนแล้ว 14 วัน
2.กรณีฝูงสัตว์ที่เคยได้รับเชื้อไวรัสโรคปากเปื่อยแล้วหายป่วย จะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตามสัตว์อาจมีการติดเชื้อได้มากกว่าหนึ่งครั้งในชั่วชีวิต โดยหากมีการติดเชื้อซ้ำแล้วสัตว์จะไม่แสดงอาการรุนแรงเท่ากับการติดเชื้อในครั้งแรก กรณีนี้อาจไม่จำเป็นต้องให้สัตว์ได้รับวัคซีนป้องกันโรคปากเปื่อยอีก
ในคน
สวมถุงมือเมื่อสัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะย่างยิ่งขณะเปิดปากหรือจมูกที่มีรอยโรคปากเปื่อย และหลังสัมผัสหรือทำงานกับสัตว์ป่วยหรือขณะกำลังทำวัคซีน และให้ล้างมือด้วยสบู่หรือน้ำยาล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
|
ไฟล์แนบ: คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนจึงจะสามารถดูและดาวน์โหลดไฟล์แนบได้ หากยังไม่มีแอคเคานต์หรือยังไม่ได้เป็นสมาชิก กรุณาลงทะเบียน
-
คะแนนรวม: แต้ม + 10
สะสม + 10
ดูบันทึกคะแนน
|